Tuesday, December 2, 2008

ลูกไม้เก่า

เหตุการณ์ชุมนุมประท้วง ที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ของกลุ่มที่อ้างตัวในนามศูนย์ประสานงานเครือข่ายนักศึกษาและประชาชน ที่เริ่มตั้งแต่เมื่อบ่ายของวันที่ 31 พ.ค.-4 มิ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่ม ผู้ชุมนุมอ้างว่า เจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำร้าย กลั่นแกล้ง รังแกประชาชนผู้บริสุทธิ์ พร้อมยื่นเรียกร้องรวม 10 ข้อ อาทิ ให้ถอนกำลังทหารออกนอกพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยกเลิกประกาศเคอร์ฟิว และ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิดอย่างเด็ดขาด ไม่ครอบงำสื่อ ปล่อยตัวผู้บริสุทธิ์ และไม่จับตัวผู้บริสุทธิ์อีก นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบ กรณีที่อ้างว่ามีทหารข่มขืนแล้วฆ่าหญิงสาวพร้อมครอบครัวในพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลา รวมถึงกรณีอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ และห้ามด่วนสรุปว่า เป็นฝีมือกลุ่มโจรก่อการร้ายเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังขู่ว่าจะไม่ยอมสลายการชุมนุม หากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง…
เป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็น วัยรุ่นทั้งชายและหญิง อายุประมาณ 18 - 20 ปี ใช้ผ้าคลุมหน้า มีปลอกแขนสีแดง ป้ายแขวนคอระบุเป็นกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาสันติเพื่อประชาชน พร้อม ทั้งมีป้ายผ้าเขียนข้อความโจมตีนโยบายรัฐบาลและการทำงานของหน่วยงานใน พื้นที่ ซึ่งเป็นการเตรียมการมาอย่างดีและเป็นระบบ จากการตรวจสอบข้อมูลในเบื้องต้น นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ยืนยันว่ากลุ่มดังกล่าวเป็นเพียงการแอบอ้างเท่านั้น !!!

ทั้ง นี้ก็เพราะ นายสิกขนันท์ หนูเล็ก นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยราคำแหง (อศ.มร.) ได้ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า อศ.มร.ไม่ได้มีมติเข้าร่วมการชุมนุมดังกล่าว และการนำชื่อ อศ.มร.ไปแอบอ้างเกิดจากความผิดพลาดในการสื่อสาร เท่าที่พูดคุยกับเพื่อนๆ ชาวใต้พบว่าไม่มีกลุ่มใดมีมติเข้าร่วมการชุมนุม ส่วนการร่วมชุมนุมของนักศึกษากลุ่มนี้จึงเป็นไปได้ว่า ดำเนินการไปในนามส่วนตัว !!!
หากพิจารณาตามเหตุผลของการชุมนุมและข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมแล้ว เกือบทุกประเด็นไม่มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือได้เลย ที่ผ่านมาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นไปด้วยความระมัดระวังพร้อมให้มีการตรวจสอบในทุกด้าน ขณะเดียวกันก็ได้เปิดโอกาสให้กลุ่มผู้นำศาสนา และประชาชนในพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาทุกระดับ ส่วนข้อเรียกร้องที่ให้มีการถอนกำลังทหารออกนอกพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยกเลิกประกาศเคอร์ฟิว และ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 นั่นเท่ากับว่าเป็นการเปิดทางให้กับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้เข้าควบคุม พื้นที่ได้อย่างสะดวกโยธิน !!!

ถึง เวลานั้นคิดหรือว่าจะเกิดความสงบและปลอดภัยต่อสุจริตชน เพราะถึงมีกำลังเจ้าหน้าที่ ที่ดูแลความปลอดภัย อยู่ในขณะนี้จำนวนไม่น้อย ก็ยังมีการก่อเหตุร้ายรายวันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป้าหมายส่วนใหญ่ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนผู้บริสุทธิ์ ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ปรากฏต่อสื่อทุกแขนง ก็เป็นการนำเสนอจากข้อเท็จจริง รัฐไม่ได้มีส่วนในการครอบงำหรือบิดเบือนข้อมูลข่าวสารแต่อย่างใด ซึ่ง สามารถตรวจสอบและเปรียบเทียบได้จากสื่อต่างประเทศจากสำนักข่าวต่างๆ ที่ได้ส่งผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ติดตามสังเกตการณ์และรายงานข่าวอย่างใกล้ชิด ต่างก็ทราบเป็นอย่างดี หรือแม้กระทั่งการบังคับใช้กฎหมาย ต่อผู้กระทำผิดเกี่ยวกับคดีความมั่นคง ยังถูกกลุ่มผู้ชุมนุมกดดันให้ปล่อยตัว และไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม แต่กลับกล่าวหาว่ารัฐไม่ให้ความเป็นธรรม!!

การ ชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี แต่ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ กลับไม่เห็นด้วยกับกลุ่มผู้ชุมนุม นั่นก็เป็นเพราะว่า การรู้เท่าทัน และไม่เห็นด้วยกับการกระทำอันโหดร้าย ไร้มนุษยธรรมของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนผู้บริสุทธิ์ ต้องบาดเจ็บล้มตายทุกวัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตตามปกติสุขและการประกอบอาชีพประจำวันมาโดย ตลอดง จนเกิดความเอือมระอาและไม่เห็นด้วย

ก่อนหน้าที่จะมีการชุมนุม ไม่นาน กองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) ได้จัดทำข้อมูลเปิดเผย กลอุบาย กลโกง และกลลวง ของผู้ก่อความไม่สงบ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เอาไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

1.กลลวงเผาสถานที่หลอกให้เจ้าหน้าที่ออกมาระงับเหตุแล้วลอบยิง ระหว่างทาง

2. กลอุบายทำร้ายประชาชน เผาทำลายบ้านเรือน ราษฎรในชุมชนที่ใกล้เคียงกัน นับถือศาสนาต่างกัน เพื่อทำให้เกิดความหวาดระแวงไม่ไว้ใจกันและกัน นำไปสู่การแตกแยกระหว่างประชาชน

3.กลอุบาย เกณฑ์และบังคับผู้หญิงกับเด็กมาร่วมกลุ่มชุมนุมประท้วง หากมีการจับกุมควบคุมตัวแนวร่วม แกนนำ หรือ RKK ในพื้นที่ เพื่อสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่สัญจรผ่านไป-มา และกดดันเจ้าหน้าที่ให้ปล่อยตัวโดยเร็ว โดยมีแกนนำผู้ชักใยปะปนอยู่ในกลุ่ม ยั่วยุให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงเด็ดขาดในการสลายผู้ชุมนุมประท้วง ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย เป็นข่าวดังไปทั่วโลก ประเทศไทยจะถูกประณามว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน เจ้าหน้าที่กระทำเกินกว่าเหตุ

4. การลวงตัดต้นไม้ โปรยตะปูเรือใบ เผาสถานที่ราชการ วางระเบิดปลอม เพื่อเบนความสนใจ ถ่วงเวลา หรือกระจายกำลังเจ้าหน้าที่ ทำให้ไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ได้ในเวลาอันสั้นและทั่วถึงทุกพื้นที่

5. กลโกง ก่อเหตุรุนแรง ทำร้ายประชาชนเสียชีวิตแล้ว เผาทำลายศพเพื่อสร้างแรงกดดัน ยั่วยุให้ประชาชนโกรธแค้น ต้องไประบายออกด้วยการชุมนุมประท้วงและยื่นข้อเรียกร้องกับเจ้าหน้าที่ด้วย อารมณ์โกรธ ขาดเหตุผล จะทำให้ไม่สามารถเจรจายุติเหตุการณ์ได้โดยง่าย นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่

6.กลโกง ก่อเหตุรุนแรง ทำร้ายผู้นำชุมชนจนเสียชีวิตแล้วป้ายสีว่าเจ้าหน้าที่ทำ ยั่วยุให้เยาวชนโกรธแค้น ขว้างปา ทำลายสิ่งของ ด่าทอ และพยายามจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ ด้วยอาการขาดสติ บ้าบิ่น บีบบังคับให้เจ้าหน้าที่ตอบโต้ด้วยอาวุธ ก็จะปลุกระดมให้ประชาชนบริสุทธิ์ชุมนุมประท้วง ขับไล่ เรียกร้อง อาจพยายามนำไปสู่ความขัดแย้ง บานปลาย

7.กลอุบาย ทำลายสัญลักษณ์ ด้วยการพยายามวางระเบิดรถทหาร สถานที่ราชการที่เป็นสัญลักษณ์ของการรักษาความมั่นคง สถานที่เอกชน ร้านค้าที่เป็นสัญลักษณ์ทางเศรษฐกิจ การศึกษาศาสนาและสังคม

8.กล อุบายออกใบปลิวโจมตีเจ้าหน้าที่ใส่ร้ายป้ายสีอย่างต่อเนื่อง เมื่อต้องเผชิญกับสภาวะกำลังสูญเสียมวลชน โดยผู้ก่อความไม่สงบ ยิ่งก่อเหตุรุนแรง ยิ่งทำให้ประชาชนเกลียดชัง โกรธแค้น และเอือมระอา เพราะประชาชนต้องการทำมาหากินบนวิถีชีวิตประจำวันที่เป็นปกติสุขโดยเร็ว

กลอุบายของผู้ก่อความไม่สงบ จะใช้วิธีการก่อเหตุใน 3 ลักษณะ คือ

1.ก่อเหตุทุกวันต่อเนื่อง ทำลายความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่

2. ก่อเหตุ รุนแรง โหดร้าย สะเทือนใจ ฆ่าและทำร้ายศพด้วยการเผา หรือตัดศีรษะ สร้างความสยดสยอง สลดหดหู่ บีบบังคับให้ประชาชนเคลื่อนไหว ชุมนุมประท้วง กดดันเจ้าหน้าที่

3.ก่อเหตุ พร้อมๆ กันทั่วพื้นที่ สร้างความเสียหาย วุ่นวาย ระส่ำระสายทั้งระบบ ทำให้เกิดภาพโกลาหลสับสนทั้งพื้นที่ ตรึงเจ้าหน้าที่ไว้เฉพาะพื้นที่รับผิดชอบ

ทั้งนี้ก็มุ่งหวังให้เป็น ข่าวแพร่สะพัดทั้งในและนอกประเทศ เพื่อที่นำไปใช้ในการกล่าวอ้างและเป็นเงื่อนไข สร้างความชอบธรรมในการขอแบ่งแยกดินแดน!!! การ ที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบยังคิดใช้แผนชั่ว โดยยืมมือจากกลุ่มพลังบริสุทธิ์ ด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงครอบงำความคิด นิสิต นักศึกษาและเยาวชน มาเป็นเครื่องมือ ในการต่อรองกับรัฐ นั่นเป็นเพราะผลสำเร็จจากอดีต หากจะย้อนไปศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่หวัดชายแดนภาค ใต้ เมื่อประมาณปี พ.ศ.2518 พบ ว่าเคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้มาแล้ว และครั้งนั้นเกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับกลุ่มนักศึกษา และประชาชน จนกลายเป็นเหตุร้ายบานปลาย กลายเป็นบทเรียนสำคัญ!!!

เหตุการณ์ ชุมนุมประท้วงที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ที่ผ่านมาก็มีลักษณะคล้ายกัน เพียงแต่ปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ โดยพยายามที่จะดึงสื่อมวลเป็นตัวแปรสำคัญในการเสนอข่าวสารที่ให้เป็น ประโยชน์ของกลุ่ม เพื่อที่จะได้อ้างความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวเรียกร้องต่อไป ในระดับสากล

หาก แต่ว่าคนในพื้นที่รู้เท่าทัน จึงไม่ได้ผลดังคาด และล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบยังพยายาม ปล่อยข่าวให้เยาวชนในโครงการ “สานใจไทยสู่ใจใต้” ไปรวมตัวกันที่ศาลากลางจังหวัดของแต่ละจังหวัดทั้ง 3 จังหวัด ในวันที่ 7 มิ.ย. โดยออกอุบายว่าให้ไปร่วมกิจกรรมกับจังหวัด จากนั้นก็จะฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ก่อเหตุชุมนุมประท้วงพร้อมกันทั้ง 3 จุด โดยใช้เยาวชนกลุ่มนี้เป็นเครื่องมือ แต่ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้เหตุการณ์จึงไม่เกิด!!! ถึง ตอนนี้พอจะมองเห็นแล้วว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเริ่ม“จนแต้ม”แล้ว จึงได้งัดเอา “ลูกไม้เก่า” มาหากิน ออกอุบายหลอกใช้เยาวชนและผู้หญิงเป็นเครื่องมือ เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง แต่ในขณะที่ ตัวการยังคง “มุดอยู่ใต้ดิน” ไม่กล้าออกมาเผชิญหน้ากับความจริง!! และรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง.....นี่คือ พฤติกรรมของผู้ที่คิดจะแบ่งแยกปกครองตนเอง.... ใช้ “ลูกไม่เก่า” หลอกเด็กและผู้หญิงให้ไป “เสี่ยง”แทนตน โดยหวังจะได้ผลเช่นในอดีต เมื่อรู้อย่างนี้แล้วโปรดหมั่นเตือนบุตรหลานไว้ให้ดีว่า..อย่าหลงกลคนพวกนี้ !!!

No comments: